วรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. มั่นคงเคหะการ (MK) เผยว่า ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติแผนการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของ MK เพื่อให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจในอนาคตที่มุ่งเน้นการเติบโตจากพอร์ตธุรกิจอาคาร “คลังสินค้า”และ “โรงงานให้เช่า” ที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญเป็นธุรกิจหลัก
การดำเนินการ
- MK จะขายหุ้นสามัญของบริษัท อาร์เอ็กซ์ เวลเนส จำกัด (RXW) ประกอบธุรกิจบริการด้านสุขภาพ สัดส่วน 100% มูลค่าประมาณ 276 ล้านบาท แก่บริษัท เอฟเอ็นเอส โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (FNS) ผู้ถือหุ้นรายใหญ่
- จำหน่ายทรัพย์สินที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เพื่อการประกอบธุรกิจดังกล่าว มูลค่าประมาณ 84 ล้านบาท
- สิทธิการเช่าที่ดินและอาคารสำหรับธุรกิจให้บริการด้านสุขภาพ เป็นเวลา 10 ปี มูลค่าการเช่ารวมประมาณ 1,770 ล้านบาท
- FNS จะต้องให้กู้ยืมเงินแก่ RXW เพื่อนำมาชำระเงินกู้และดอกเบี้ยแก่ MK
การซื้อหุ้นสามัญและหน่วยทรัสต์จาก FNS
- หุ้นสามัญของ บริษัท บีเอฟทีแซด วังน้อย จำกัด (BFTZWN) จำนวนทั้งสิ้น 24,999 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 100 บาท ในราคาหุ้นละ 2,000.08 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 50 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้น 50% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด
- หน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาฯ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล (PROSPECT REIT) จำนวนทั้งสิ้น 83,212,061 หน่วย มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หน่วยละ 9.4697 บาท ในราคาหน่วยละ 9.3885 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 781 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 22.19% ของหน่วยทรัสต์ที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด
ทั้งนี้ ภายหลังจากการปรับโครงสร้างธุรกิจดังกล่าวจะส่งผลให้ MK มีสัดส่วนถือหุ้นใน BFTZWN ผ่านบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด จากเดิม 50% เพิ่มเป็น 100% มีอำนาจตัดสินใจและสิทธิในการบริหารอย่างเบ็ดเสร็จ รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการถือหน่วยทรัสต์ PROSPECT REIT จาก 8.61% เป็น 30.80% ของหน่วยทรัสต์ที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด ทำให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากสัดส่วนการถือหน่วยทรัสต์ที่เพิ่มขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องด้านเงินลงทุนให้กับบริษัทฯ เนื่องจากหน่วยทรัสต์ PROSPECT REIT มีสภาพคล่องในการซื้อขาย
การได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ MK เพื่อกลับมาเติบโตอย่างมั่นคง จากนี้ไป บริษัทฯ จะเดินหน้าเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของธุรกิจ “คลังสินค้า” และ “โรงงานให้เช่า” ให้แข็งแกร่งพร้อมรับโอกาสภาคอุตสาหกรรมโลกขยายฐานการผลิตสู่อาเซียน โดยคาดว่าการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจจะเสร็จสิ้นภายในปี 2567