ภก.สุวิทย์ งามภูพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บางกอกแล็ป แอนด์ คอสเมติค (ฺBLC) เผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2566
- รายได้จากการขายและบริการรวม 347 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการสร้าง Brand awareness และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังมีการเติบโตขึ้น
- กำไรสุทธิรวม 37 ล้านบาท ลดลง 9.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายในส่วนของผลประโยชน์พนักงานที่เพิ่มขึ้นและค่าที่ปรึกษาต่างๆ
ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน (มกราคม-กันยายน) ของปี 2566 ยังเติบโตแข็งแกร่ง
- รายได้จากการขายและบริการรวม 1,011 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.3%
- กำไรสุทธิ 100.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.6% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ BLC ได้วางยุทธศาสตร์สร้างการเติบโตเพื่อรับเมกะเทรนด์ด้านสุขภาพผ่านการสร้าง Brand Awareness ให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ โดยมุ่งเน้นการสื่อสารทางการตลาดผ่านทุกช่องทางเพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์บำรุงรักษาสุขภาพของบริษัทฯ รวมถึงการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ทั้ง Modern trade และ e-Commerce
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 3/2566 บริษัทฯ ได้ผลิตและจัดจำหน่ายยาสามัญใหม่ (New Generic Drugs) 1 รายการ โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาและจำหน่ายทันทีหลังจากสิทธิบัตรของยาต้นแบบ (Original Drugs หรือ Patented Drugs) หมดอายุ โดยเป็นยาที่มีคุณสมบัติการรักษาเหมือนกับยาต้นแบบแต่ราคาที่ถูกลงกว่ายาต้นแบบและมีอัตราการทำกำไรที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ภายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
ทั้งนี้ หลังจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ ได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนสำหรับการนำเข้าเครื่องจักร และก่อสร้างอาคารโรงงานครบหมดแล้ว ปัจจุบันโครงการก่อสร้างอาคารโรงงานผลิตแห่งใหม่อยู่ในขั้นตอน การขออนุมัติแบบก่อสร้างโรงงาน ซึ่งอาคารผลิตยาแผนปัจจุบันหลังใหม่จะใช้เทคโนโลยีทางด้านการผลิตที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต รวมถึงเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มบริษัทในระยะยาว รวมทั้งการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) ขนาด 500 กิโลวัตต์ เพื่อช่วยลดค่าไฟฟ้าประมาณ 2.6 ล้านบาทต่อปี โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างโรงงานได้ภายในไตรมาส 2/2567
ขณะที่อุตสาหกรรมยามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่ประชาชนกลับมารักษาในโรงพยาบาลตามปกติของผู้ป่วย โดยคาดว่าปริมาณการผลิตและจำหน่ายยาในประเทศช่วงครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นตามความต้องการใช้ยาเพื่อรักษาโรคที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และการปิดปีงบประมาณของโรงพยาบาลรัฐบาลจะทำให้ดีมานด์ของยาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้บริษัทวางเป้าหมายรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 200 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นจะมาจากยาแผนปัจจุบันประเภทยาสามัญใหม่ (New Generic Drugs) เป็นหลัก